การบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม

การกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อม

     พีทีจี ได้กำหนดโครงสร้างการบริหารการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กร ภายใต้คณะกรรมการกำกับดูแลและบริหารด้านความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากกลุ่มบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี เป็นตัวแทนในการดำเนินการเพื่อกำกับดูแลและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามระบบความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม (PTG SSHEMS) ให้ครอบคลุมธุรกิจทั่วทั้งกลุ่มบริษัท
    พีทีจี ได้กำหนดโครงสร้างการบริหารการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กร ภายใต้คณะกรรมการกำกับดูแลและบริหารด้านความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากกลุ่มบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี เป็นตัวแทนในการดำเนินการเพื่อกำกับดูแลและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามระบบความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม (PTG SSHEMS) ให้ครอบคลุมธุรกิจทั่วทั้งกลุ่มบริษัท

กระบวนการดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไปตามกฎหมายและข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม

  พีทีจี ให้ความสำคัญในการดำเนินการตามกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ทั้งในด้านกฎหมายและภาพลักษณ์ขององค์กร การดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไปตามกฎหมายและข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมจึงเป็นกระบวนการที่ต้องมีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการติดตามและทบทวนข้อกำหนด กฎหมายที่มีการประกาศใหม่และเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับข้อกำหนด กฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไป ดำเนินการตรวจสอบภายในและประเมินผลการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล กฎหมาย และข้อกำหนดขององค์กรที่มีการนำมาบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทฯ ดำเนินการได้ตามมาตรฐาน มีการบันทึกและรายงานผลอย่างโปร่งใส หากพบปัญหาหรือข้อผิดพลาด บริษัทฯ จะดำเนินการแก้ไขและตั้งมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำ รวมถึงการประเมินผลและปรับปรุงกระบวนการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพละสอดคล้องกับ


การรับรองระบบมาตรฐานการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม

พีทีจี มีกระบวนการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ให้มั่นใจได้ว่า องค์กรได้ดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติ และระบบการบริหารจัดการด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม โดยนำมาตรฐานสากลต่างๆ มาประยุกต์ใช้ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานที่คำนึงถึงการปกป้อง ป้องกัน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างความปลอดภัยให้กับพนักงาน ได้แก่ มาตรฐานระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม (ISO 14001) มาตรฐานระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (ISO 45001) และมาตรฐานระบบบริหารงานคุณภาพ (ISO 9001) นอกจากนี้โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัท ฯ ยังได้นำแนวทางการปฏิบัติจากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เข้ามาดำเนินการเพื่อส่งเสริมศักยภาพการจัดการทรัพยากร พลังงาน และสิ่งแวดล้อมในสำนักงาน และยกระดับมาตรฐานสำนักงานให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผ่านการได้รับการรับรองโครงการสำนักงานสีเขียว (Green Office) การได้รับการรับรองโครงการอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry)ของกลุ่มธุรกิจ พีทีจี โลจิสติกส์ รวมทั้งการดำเนินการโครงการด้านสิ่งแวดล้อม ที่มีการทวนสอบข้อมูลและให้การรับรอง โดยหน่วยงานภายนอก

นโยบายด้านบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน

พีทีจีมุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนด้านบรรจุภัณฑ์ โดยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินธุรกิจ ภายใต้หลักการจัดการขยะที่ไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ สนับสนุนการลดการใช้พลาสติกที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ (Reduce) การนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) และการรีไซเคิล (Recycle) ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การนำแกลลอนน้ำมันกลับมาใช้ซ้ำ การลดปริมาณถุงพลาสติก และการร่วมมือกับคู่ค้าเพื่อออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ล้วนสะท้อนถึงความใส่ใจของพีทีจี นอกจากนี้ยังส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการลดการใช้วัสดุสิ้นเปลืองและเลือกใช้วัสดุที่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการสร้างความตระหนักรู้แก่พนักงาน เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนต่อไป

ดาวน์โหลดนโยบายด้านบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน

การบริหารจัดการพลังงาน

แนวทางการบริหารจัดการ
พีทีจี ดำเนินการจัดการพลังงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งในรูปแบบพลังงานเชื้อเพลิง และพลังงานไฟฟ้า โดยการดำเนินการตามมาตรฐานการจัดการพลังงาน ติดตาม ตรวบสอบผลการดำเนินงาน และนำมาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง จึงมีการบันทึกข้อมูลปริมาณพลังงานที่ใช้ในแต่ละปี เช่น การใช้เชื้อเพลิงของรถขนส่ง และการใช้ไฟฟ้าในสำนักงาน เพื่อให้บริษัทฯ สามารถทราบแนวโน้มการใช้พลังงานและประเมินจุดที่สามารถปรับปรุงหรือประหยัดพลังงาน แล้วนำมาต่อยอดพัฒนาเป็นโครงการลดการใช้พลังงาน เพื่อให้มีการบริหารจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มาตรการที่ดำเนินการเพื่อลดการใช้พลังงาน
  • โครงการรณรงค์การประหยัดพลังงานไฟฟ้า ภายในสำนักงานใหญ่
    พีทีจี ดำเนินโครงการลดการใช้ไฟฟ้าภายในสำนักงานใหญ่อย่างต่อเนื่อง ผ่านกระบวนการสร้างความตระหนักและสร้างการมีส่วนร่วมให้กับพนักงาน โดยการสื่อสารแนวทางปฏิบัติในการประหยัดพลังงานให้พนักงานรับทราบผ่านช่องทางการสื่อสารที่องค์กรกำหนด เพื่อให้พนักงานปฏิบัติตามมาตรการประหยัดพลังงาน อาทิ การปิดไฟทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งานและการปิดไฟช่วงเวลาพักเที่ยงของพนักงาน การปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เวลาพักกลางวัน หรือการตั้งโหมดแสตนด์บาย สำหรับเครื่องถ่ายเอกสาร และคอมพิวเตอร์ การปรับอุณหภูมิแอร์ที่เหมาะสม การถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อเลิกใช้งาน การตั้งเวลาเปิด ปิด เครื่องปรับอากาศหลังเวลาเลิกงาน และการเปิดไฟเฉพาะพื้นที่ที่มีคนนั่ง เพื่อลดการใช้ไฟฟ้าบริเวณที่ไม่จำเป็น รวมไปถึงการเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้รับการรับรองว่าเป็นสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงาน


  • โครงการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง
    พีทีจีมุ่งเน้นการบริหารจัดการการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยดำเนินการติดตามและบันทึกข้อมูลการใช้น้ำมันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมตรวจสอบค่าปรับส่วนเกินอย่างสม่ำเสมอ และจัดทำรายงานสรุปผลการใช้น้ำมันเพื่อนำเสนอแก่ผู้บริหารในทุกเดือน
  • โครงการ Green Meetings การจัดประชุมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำนักงานใหญ่  
    พีทีจี ได้นำแนวคิดการจัดประชุมแบบยั่งยืนมาร่วมกำหนดรูปแบบการจัดประชุมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร (Green Meeting) โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรและพลังงานขององค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุด อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้อุปกรณ์ตกแต่งด้วยวัสดุจากธรรมชาติเลือกสถานที่ประชุมให้เหมาะสมกับจำนวนผู้เข้าร่วมประชุม และเลือกใช้อุปกรณ์ภายในห้องประชุมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับผู้เข้าร่วมประชุมสามารถปฎิบัติตามข้อกำหนดห้องประชุมสีเขียว (Green Meeting) อาทิ  การปิดไฟ โทรทัศน์ และถอดปลั๊ก หลังเลิกใช้งาน, งดรับประทานอาหารภายในห้องประชุม เพื่อลดปริมาณการเกิดขยะ เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และลดกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
  • โครงการ Sustainability Events
    การจัดงานอย่างยั่งยืน Sustainability Events การจัดงานอย่างยั่งยืนภายใต้แนวทางปฏิบัติสำหรับการจัดงานอย่างยั่งยืนของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. ที่ให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระตุ้นให้ผู้ร่วมงานมีส่วนร่วมในการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการจัดงาน และเกิดความตระหนักในการมีส่วนร่วมลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่ต้นทาง จากการใช้พลังงาน ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และลดการเกิดของเสียภายในองค์กร โดยโครงการนี้จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ภายใต้ความร่วมมือของผู้จัดงาน ผู้เข้าร่วมงาน และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง


ผลการดำเนินงาน

ตัวชี้วัด 2565 2566 2567
สัดส่วนปริมาณไฟฟ้าต่อยอดขายน้ำมันผ่านคลังน้ำมัน (หน่วย :  kwh/ลิตร) -26.21% -5.76% -1.64%
สัดส่วนปริมาณไฟฟ้าต่อยอดขายน้ำมันผ่านสถานีบริการ COCO (หน่วย : kwh/ลิตร)
-65.96% -1.77% 9.38%
อัตราการใช้ไฟฟ้าต่อคนจากกิจกรรมภายในพื้นที่สำนักงานใหญ่ (หน่วย : kwh/คน/เดือน) 58.56 23.55 22.38 (-4.97%)
ค่าเฉลี่ยการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์ในองค์กรลดลง (หน่วย : ลิตร/เดือน) 46,433.71 39,104.59 43,080.39 (10.17%)
หมายเหตุ:
- สัดส่วนปริมาณไฟฟ้าต่อยอดขายน้ำมันผ่านสถานีบริการ COCO เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นจากการขยายสถานีบริการ และการใช้บริการของผู้บริโภคที่มากขึ้น
- ปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มากขึ้น เนื่องจากการขยายธุรกิจที่เพิ่มขึ้น เช่น การเพิ่มสาขาของสถานีบริการ ร้านกาแฟพันธุ์ไทย และกลุ่มธุรกิจอื่น

การบริหารจัดการน้ำ

แนวทางการบริหารจัดการ
วิกฤติของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการจัดการทรัพยาน้ำของประเทศทั้งในมิติปริมาณและคุณภาพของน้ำ องค์กรจึงเล็งเห็นความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ  ตระหนักถึงความเสี่ยงและผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับการนำน้ำจากแหล่งน้ำมาใช้ในกิจกรรมและกระบวนการผลิตขององค์กร อีกทั้งยังมีการติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อดำเนินการติดตามและวิเคราะห์คุณภาพน้ำทิ้งก่อนปล่อยออกสู่ภายนอกเพื่อให้มั่นใจว่าน้ำทิ้งไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนใกล้เคียง และสอดคล้องตามที่กฎหมายกำหนด

มาตรการที่ดำเนินการเพื่อลดการใช้น้ำ
พีทีจี ตระหนักว่าน้ำเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าและจำเป็นต่อทั้งการดำเนินธุรกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชน บริษัทมีการใช้น้ำในหลายกิจกรรม อาทิ การให้บริการสถานีบริการน้ำมัน การล้างรถ การเตรียมอาหารและเครื่องดื่มภายในร้านค้า (Punthai Coffee, Max Mart) และการใช้น้ำเพื่อการดำเนินงานทั่วไปในสำนักงาน น้ำที่ใช้ส่วนใหญ่มาจากระบบประปาสาธารณะ และในบางพื้นที่ที่ไม่มีระบบประปา บริษัทใช้น้ำบาดาลโดยอยู่ภายใต้การควบคุมตามกฎหมาย  
อีกทั้ง ได้มีการกำหนดมาตรการในการประหยัดน้ำ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน และสอดคล้องกับนโยบายคุณภาพ ความมั่นคง ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม (Quality, Security, Occupational Health and Safety, Environmental Policy: QSSHE) ขององค์กร โดยมีแนวทางในการปฏิบัติเบื้องต้น ดังนี้
  • กำหนดให้สถานประกอบกิจการในแต่ละกลุ่มบริษัท มีการติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสีย หรือถังดักไขมัน เพื่อจัดการน้ำเสียตั้งแต่ต้นทาง และเพื่อให้มั่นใจว่าน้ำทิ้งที่ปล่อยออกสู่สาธารณะ มีค่าเป็นไปตามมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือชุมชนใกล้เคียง
  • กำหนดให้สถานประกอบกิจการที่มีการติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสีย หรือถังดักไขมัน ต้องมีการทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อให้ระบบบำบัดน้ำเสียทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 
  • กำหนดให้สถานประกอบกิจการบันทึกข้อมูลปริมาณการใช้น้ำเพื่อวิเคราะห์แนวโน้ม และจัดทำมาตรการในการลดการใช้น้ำ
  • ประกาศเป้าหมายในการลดการใช้น้ำให้กับพนักงานรับทราบ เพื่อสร้างความตระหนักและการร่วมมือในการใช้ทรัพยากรน้ำ
  • รณรงค์สื่อสาร เพื่อสร้างความตระหนักให้กับผู้ปฏิบัติงาน ผ่านการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ และหลักสูตรออนไลน์ อาทิ หลักสูตรสำนักงานสีเขียว (Green Office) เป็นต้น 
  • จัดทำช่องทางสื่อสารให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถแจ้งปัญหาอุปกรณ์ชำรุดที่พบ เพื่อให้สามารถดำเนินการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ได้ทันที
นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการเกี่ยวกับการจัดการน้ำดังนี้
โครงการ Mini Waste Water
เป็นแนวทางการจัดการน้ำเสียในสถานีบริการที่มุ่งเน้นการหมุนเวียนทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยน้ำเสียจากสถานีบริการจะได้รับการบำบัดผ่านกระบวนการเติมก๊าซออกซิเจน และนำกลับมาใช้ใหม่ภายในสถานี ทั้งนี้ น้ำเสียที่ผ่านการบำบัดจะต้องผ่านการปรับปรุงคุณภาพจนเป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด โครงการดังกล่าวช่วยลดปริมาณน้ำเสียที่ต้องปล่อยออกสู่สาธารณะได้ถึง 8,600 ลิตร และช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้ถึง 20% นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน พร้อมสนับสนุนการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม


ผลการดำเนินงาน
ตัวชี้วัด 2565 2566 2567
สัดส่วนปริมาณน้ำประปาต่อยอดขายน้ำมันผ่านคลังน้ำมัน -45.02% 6.76% -3.48%
สัดส่วนปริมาณน้ำประปาต่อยอดขายน้ำมันผ่านสถานีบริการ 16.01 -13.80% 7.83%
อัตราการใช้น้ำต่อคนจากกิจกรรมภายในพื้นที่สำนักงานใหญ่(ลิตรต่อคน)  81.06 51.89 47.34 (-8.77%)
หมายเหตุ : 
- สัดส่วนปริมาณน้ำประปาต่อยอดขายน้ำมันผ่านคลังน้ำมันเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการปรับปรุงระบบดับเพลิงและปรับปรุงถังเก็บน้ำดับเพลิง
- สัดส่วนปริมาณน้ำประปาต่อยอดขายน้ำมันผ่านสถานีเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการใช้น้ำประปามากขึ้นจากการขยายสถานีบริการ และการใช้บริการของผู้บริโภคที่มากขึ้น


การจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

                 พีทีจีได้กำหนดแนวทางในการจัดซื้อและจัดจ้างสินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมให้พนักงานได้ใช้สินค้าและบริการที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่กระบวนการผลิต ซึ่งเป็นการส่งเสริมการลดการใช้ทรัพยากรที่สิ้นเปลืองและลดมลภาวะที่อาจเกิดขึ้นจากการผลิตสินค้าและบริการ นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้พนักงานทุกคนมีความตระหนักในการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยมีส่วนร่วมในการเลือกสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

                  ในการเลือกใช้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้น ผู้จัดซื้อสินค้าจะต้องพิจารณาถึงการรับรองสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น สินค้าที่ได้รับรองฉลากเขียว, ฉลากประหยัดพลังงานเบอร์ 5, ฉลากประสิทธิภาพสูง, ฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ เป็นต้น เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าและบริการที่เลือกซื้อจะไม่ก่อให้เกิดมลภาวะที่ส่งผลทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่หากไม่สามารถเลือกสินค้าที่ได้รับการรับรองสินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ จัดซื้อสินค้าสามารถพิจารณาเลือกสินค้าและบริการจากเกณฑ์ดังต่อไปนี้ โดยเปรียบเทียบสินค้าหรือบริการที่จะทำการเลือกใช้งานใหม่กับสินค้าหรือบริการที่ใช้งานเดิมอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งมีเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1.1.1 ใช้วัสดุที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย เช่น วัสดุไม่มีพิษ วัสดุหมุนเวียนทดแทนได้ วัสดุรีไซเคิล และวัสดุที่ใช้พลังงานต่ำในการจัดหา

1.1.2 ใช้วัสดุน้อย เช่น น้ำหนักเบา ขนาดเล็ก มีจำนวนประเภทของวัสดุน้อย

1.1.3 มีเทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น ใช้พลังงานสะอาด ลดการเกิดของเสียจากกระบวนการผลิต และลดขั้นตอนของกระบวนการผลิต

1.1.4 มีระบบขนส่งและจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น ลดการใช้หีบห่อบรรจุภัณฑ์ที่ฟุ่มเฟือย ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุที่ใช้ซ้ำหรือหมุนเวียนใช้ใหม่ได้ และเลือกใช้เส้นทางการขนส่งที่ประหยัดพลังงานที่สุด

1.1.5 ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดในช่วงการใช้งาน เช่น ใช้พลังงานต่ำ มีการปล่อยมลพิษต่ำในระหว่างการใช้งาน ลดการใช้วัสดุสิ้นเปลือง และลดการใช้ชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็น

1.1.6 มีความคุ้มค่าตลอดชีวิตการใช้งาน เช่น มีความทนทาน สามารถซ่อมแซมและดูแลรักษาง่าย และสามารถปรับปรุงต่อเติมได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย

1.1.7 มีระบบการจัดการหลังหมดอายุการใช้งานที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น มีการออกแบบให้สามารถนำสินค้าหรือชิ้นส่วนกลับมาใช้ซ้ำหรือหมุนเวียนใช้ใหม่ได้ง่าย หรือหากต้องกำจัดทิ้งสามารถนำพลังงานกลับคืนมาใช้ได้

                  การจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในกรณีที่บริษัทฯ มีการจ้างงานจากบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกมาดำเนินการแทนภายในบริษัทฯ ควรมีการคัดเลือกบุคคลหรือหน่วยงานที่เหมาะสม กล่าวคือ ต้องมีมาตรฐานการดำเนินงานที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยมีคุณสมบัติดังนี้

1. ได้รับการรับรองมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมระดับประเทศหรือระดับสากล

2. มีความพร้อมของการป้องกันมลพิษต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงาน เช่น มลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง

3. มีความพร้อมของการป้องกันอันตรายจากการก่อสร้างหรือการปฏิบัติงาน

4. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

5. พนักงานของหน่วยงานได้รับการฝึกอบรมด้านการใช้ทรัพยากร พลังงาน การจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ

การบริหารจัดการขยะ

แนวทางการบริหารจัดการ
พีทีจี ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการปัญหาขยะในกระบวนการดำเนินธุรกิจและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งมั่นดำเนินการตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในการบริหารจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎหมาย และมาตรฐานที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยมีเป้าหมายในการนำของเสียไปฝังกลบเป็น ศูนย์ และนำของเสียที่เกิดขึ้นไปกำจัดอย่างถูกวิธี เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และยึดหลัก 3R ในการจัดการของเสียตั้งแต่ต้นทาง คือ Reduce Reuse Recycle เพื่อลดปริมาณการเกิดขยะภายในองค์กร และนำขยะที่สามารถรีไซเคิลได้เข้าสู่กระบวนการนำกลับมาใช้ใหม่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด<>
การลดการสูญเสียอาหาร (Food Loss) และขยะอาหาร (Food Waste)
พีทีจี ตระหนักถึงความสำคัญของการลดปริมาณของเสียที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นการตอบสนองต่อปัญหาทรัพยากรธรรมชาติที่ สูญเปล่าและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืน และการนำขยะอาหาร (Food Waste) ไปใช้ในการผลิตปุ๋ยหมักชีวภาพ เพื่อเป็นการสร้างประโยชน์ อีกทั้งยังมีการนำแนวทางการลดการสูญเสียอาหาร (Food Loss) และขยะอาหาร (Food Waste) มาประยุกตร์ใช้กับการจัดประชุมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Meeting) และการจัดงานอย่างยั่งยืน (Sustainability Events) ที่องค์กรมีการปฏิบัติ เพื่อสนับสนุนเป้าหมาย ด้านความยั่งยืน

มาตรการเพื่อจัดการลดการเกิดขยะ และของเสีย
ประเภทขยะ ตัวอย่าง วีธีการบริหารจัดการขยะ
ขยะทั่วไป ถุงพลาสติกเปื้อนอาหาร,
กระดาษทิชชู่ใช้แล้ว
คัดแยก และส่งกำจัดตามรอบที่เทศบาลหรือสำนักงานท้องถิ่นแต่ละพื้นที่กำหนด
ขยะอินทรีย์ เศษใบไม้ กิ่งไม้, เศษอาหาร คัดแยกขยะเศษอาหาร เพื่อไปทำปุ๋ย และส่วนที่เหลือส่งกำจัดตามรอบที่เทศบาลหรือสำนักงานท้องถิ่นแต่ละพื้นที่กำหนด
ขยะรีไซเคิล ขวดพลาสติก, กระป๋องอลูมิเนียม คัดแยก และขายให้กับผู้รับซื้อเพื่อนำไปรีไซเคิล
ขยะอันตราย ผ้าปนเปื้อนน้ำมัน, ถ่านไฟฉาย คัดแยก และติดต่อผู้ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ขนส่งและกำจัด โดยขึ้นทะเบียนต่อกรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นผู้ดำเนินการ
  • โครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme: LESS)
    พีทีจี สำนักงานใหญ่ ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากทุกกิจกรรมของพนักงาน และต้องการสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมของพนักงาน ด้วยการบริหารจัดการขยะอย่างเต็มที่ ทั้งการคัดแยกขยะ และการส่งกำจัดไปสู่ปลายทางอย่างถูกต้อง ผ่านการดำเนินโครงการคัดแยกขยะภายในอาคารสำนักงาน ปัจจุบันสามารถคัดแยกขยะ รีไซเคิลประเภทกระดาษได้ จำนวน 2,910.5 กิโลกรัม พลาสติก จำนวน 369 กิโลกรัม และโครงการคัดแยกขยะฝาขวดพลาสติกจำนวน 21.8 กิโลกรัม หรือคิดเป็น 10,682 ฝา ซึ่งทางองค์กรมีการดำเนินการขอรับรองโครงการดังกล่าวผ่าน องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโครงการดังกล่าวสามารสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกได้
    นอกจากนี้ ยังมีโครงการอื่นๆ ที่ผ่านการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ได้แก่
    -  กิจกรรมการคัดแยกขยะขยะรีไซเคิลในไซต์งานก่อสร้าง ( 4.353 tCO2eq )
    -  โครงการการลดและคัดแยกขยะของสถานีบริการน้ำมัน PT ในพื้นที่เขตปทุมวันและหนองแขม (3.677 tCO2eq)
    -  โครงการอบไปแยกไป ( 724 kgCO2eq)


  • โครงการ Green Coffee Shop
    พีทีจี ได้ยกระดับให้ร้านกาแฟพันธุ์ไทย และร้านกาแฟ Coffee World เป็นร้านกาแฟ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Coffee Shop) ซึ่งได้รับการรับรองจากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนที่ครอบคลุมการดำเนินธุรกิจของ กลุ่มบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี

  • โครงการ PT ยิ่งทิ้ง ยิ่งได้
    พีทีจี ได้ริเริ่มต้นแบบการจัดการขยะภายในสถานีบริการ สาขา หนองแขม ซึ่งร่วมกับกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตปทุมวันและหนองแขม และสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้เริ่มดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566 เพื่อเป็นแหล่งกำเนิดต้นแบบการจัดการขยะมูลฝอยที่ต้นทางอย่างยั่งยืน

  • โครงการยางหล่อดอก
    เป็นโครงการที่เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ยางรถบรรทุกสิบล้อ หัวลาก และกึ่งพ่วง (หาง) ของบริษัทฯ โดยเปลี่ยนมาใช้ยางหล่อดอกเฉพาะล้อตาม (ยกเว้นล้อหน้าและล้อขับเคลื่อนที่ยังคงใช้ยางใหม่เพื่อความปลอดภัย) โครงการนี้ช่วยยืดอายุการใช้งานของยาง ลดปริมาณขยะจากยางที่หมดอายุการใช้งาน และลดการสั่งซื้อยางใหม่ ส่งผลให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในองค์กร ตั้งแต่เริ่มโครงการในปี 2560 บริษัทฯ ได้ดำเนินการต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2567 มีการนำมาใช้เปลี่ยนจำนวน 1,045 เส้น ซึ่งสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 7,956,000 บาท โครงการนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และสนับสนุนแนวทางการรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
  • โครงการ Perk from Tash
    เป็นโครงการที่สนับสนุนการจัดการขยะรีไซเคิลอย่างยั่งยืน โดยเปิดโอกาสให้บริษัทต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในอาคาร CW Tower รวบรวมขยะรีไซเคิล เช่น กระดาษ พลาสติก และโลหะ แล้วส่งไปจัดการกับทางอาคาร เพื่อสะสมคะแนน (Point) ซึ่งคะแนนที่ได้รับสามารถนำไปแลกเป็นสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ สำหรับบริษัทฯ ได้ อาทิ ส่วนลดค่าบริการเครื่องปรับอากาศนอกเวลาทำการ โครงการนี้ไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด แต่ยังส่งเสริมการตระหนักรู้เรื่องการแยกขยะและการรีไซเคิลในองค์กร อีกทั้งยังสร้างแรงจูงใจในการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม และช่วยให้บริษัทฯ สามารถลดต้นทุนการดำเนินงานได้ในระยะยาว
  • โครงการจุดคัดแยกขยะ
    เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการจัดการขยะอย่างเป็นระบบในพื้นที่คลังน้ำมัน โดยมีการจัดสร้างพื้นที่เฉพาะสำหรับการคัดแยกขยะตามประเภทต่าง ๆ เช่น ขยะทั่วไป ขยะรีไซเคิล ขยะอินทรีย์ และขยะอันตราย เพื่อให้สามารถจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยที่ผ่านได้ช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องส่งไปกำจัดโดยตรง พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสในการนำวัสดุต่าง ๆ กลับมาใช้ใหม่ (Reuse) หรือการนำไปรีไซเคิล (Recycle) นอกจากนี้ การแยกขยะอันตรายออกจากขยะประเภทอื่นยังช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของพนักงาน และได้มีการจัดกิจกรรมอบรมและให้ความรู้เกี่ยวกับการคัดแยกขยะ รวมถึงติดตั้งป้ายสัญลักษณ์ที่ชัดเจนในจุดทิ้งขยะ เพื่อสร้างความเข้าใจและความร่วมมือจากทุกฝ่ายในคลังน้ำมัน

  • การจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์การลดและงดการใช้กล่องโฟมภายในคลัง
    บริษัทฯ ได้ดำเนินการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์การลดและงดการใช้กล่องโฟมภายในพื้นที่คลังน้ำมัน โดยเน้นให้พนักงานและผู้ปฏิบัติงานตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้โฟม พร้อมส่งเสริมการเปลี่ยนมาใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้หรือย่อยสลายได้ง่าย เพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนและลดปริมาณขยะที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ
  • มาตรการจัดการของเสียอันตราย: น้ำมันรั่วไหล 
    บริษัทฯ ดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบจากกรณีน้ำมันรั่วไหลอย่างรัดกุมและต่อเนื่อง ดังนี้:
    1. มาตรการป้องกัน
      - ติดตั้งถาดเหล็กและระบบล้อมบูม (Boom) เพื่อป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันลงสู่แหล่งน้ำทุกครั้งที่มีการขนถ่ายน้ำมัน
      - ควบคุมการขนถ่ายโดยเจ้าหน้าที่ประจำจุด พร้อมตรวจสอบขั้นตอนอย่างเข้มงวดตลอดกระบวนการ
      - ทดสอบความดันท่อขนส่ง ทุก 6 เดือน (ท่อยาง) และทุก 1 ปี (ท่อเหล็ก) หากพบความชำรุดจะดำเนินการซ่อมแซมทันที
      - กำหนดระงับการขนถ่ายทันทีหากเกิดคลื่นลมหรือสภาวะอันตราย เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุฉุกเฉิน
    2. มาตรการรองรับเหตุฉุกเฉิน
      - เตรียมอุปกรณ์ดูดซับน้ำมันและบูมดักน้ำมัน ไว้ที่จุดปฏิบัติการ และบริเวณท่าเรือเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของคราบน้ำมัน
      - จัดฝึกซ้อมแผนฉุกเฉิน สำหรับเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อสร้างความคุ้นเคยแก่พนักงาน
    3. การจัดการของเสียหลังเหตุการณ์
      - น้ำมันและตะกอนที่ปนเปื้อนจะถูกส่งเข้าสู่ระบบบำบัด (DAF) และแยกเก็บไว้ในถังขนาด 18,000 ลิตร เพื่อส่งกำจัดอย่างถูกต้องโดยหน่วยงานที่ได้รับอนุญาต - ทำความสะอาดบ่อดักน้ำมัน และระบบระบายน้ำอย่างสม่ำเสมอ (รายสัปดาห์/รายเดือน)
ผลการดำเนินงาน
ตัวชี้วัด 2565 2566 2567
สัดส่วนของปริมาณขยะและของเสียอันตรายที่ถูกกำจัดอย่างถูกวิธี เป็นไปตามกฎหมายกำหนดและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 100% 100% 100%
การรั่วไหลของน้ำมันและสารเคมีอย่างมีนัยสำคัญ (กรณี) 0 1 0
ค่าเฉลี่ยการใช้กระดาษภายในสำนักงานใหญ่(แผ่น/คน/เดือน) 204,521 201,902 214,922  (6.45%)
ค่าเฉลี่ยปริมาณขยะทั่วไปจากกิจกรรมภายในสำนักงานใหญ่
(kg/คน/เดือน)
3.95 2.18 1.77 (-18.81%)

หมายเหตุ:   
- ปริมาณการรั่วไหลของน้ำมันที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพื้นดินหรือแหล่งน้ำ มากกว่า 100 บาร์เรล/ครั้ง
- ขอบเขตของข้อมูลในปี 2565 ได้แก่ สำนักงานใหญ่, คลังน้ำมัน และศูนย์ซ่อมบำรุงขนส่ง โดยในปี 2566 และปี 2567 ได้เพิ่มขอบเขตในส่วนคลังกระจายสินค้า
- ปริมาณที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากได้มีการจัดทำเอกสารสนับสนุนการดำเนินงานและกิจกรรมที่เพิ่มขึ้น

การบริหารจัดการมลพิษ

แนวทางการบริหารจัดการ
พีทีจี มีความมุ่งมั่นในการดูแล บริหารจัดการคุณภาพอากาศ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกระดับ และให้ความสำคัญต่อการจัดการคุณภาพอากาศที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานขององค์กร ทางบริษัทฯ จึงได้ดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้คุณภาพอากาศที่ปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม มีค่าเป็นไปตามข้อกำหนดกฎหมาย และไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของสิ่งแวดล้อม  
การตรวจวัดคุณภาพอากาศ
พีทีจี ได้กําหนดให้มีการตรวจวัดและวิเคราะห์คุณภาพสิ่งแวดล้อมในกลุ่มธุรกิจคลังน้ำมัน และสถานีบริการ พร้อมทั้งจัดทํารายงานผลการตรวจวัด เพื่อให้ทราบถึงสถานการณ์ปัญหาคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่อาจส่งผลกระทบต่อพนักงาน และชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียง อีกทั้งยังให้ความสำคัญต่อสุขภาพของพนักงานที่ปฏิบัติงานภายในอาคารสำนักงานใหญ่ จึงกำหนดให้มีการตรวจวัดคุณภาพอากาศในการทำงาน และการจัดการดูแลความน่าอยู่ภายในพื้นที่สำนักงาน โดยการทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศในพื้นที่ การซักล้างพรม หรือวัสดุที่มีการสะสมของฝุ่น การควบคุมดูแลรักษา เครื่องถ่ายเอกสาร เพื่อให้พนักงานมั่นในในคุณภาพอากาศ ว่าไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

มาตรการเพื่อจัดการเพื่อลดผลกระทบหรือปรับปรุงประสิทธิภาพในการจัดการมลพิษ
พีทีจี ตระหนักและให้ความสำคัญในการกำกับดูแล ควบคุมกระบวนการดำเนินงานในการบริหารจัดการคุณภาพอากาศ ภายใต้การบริหารจัดการตามนโยบาย QSSHE โดยการกำหนดมาตรฐานในการควบคุม เพื่อติดตาม ตรวจสอบ ให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามมาตรฐาน ข้อกำหนดกฎหมาย และเป้าหมายขององค์กร  ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิผลให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านกระบวนการตรวจสอบภายใน เพื่อทบทวนผลการดำเนินงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ ให้เป็นไปตามมาตรฐานการบริหารคุณภาพ ความมั่นคงปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม
  • การติดตั้งระบบควบคุมไอระเหยน้ำมัน (Vapor Recovery Unit: VRU) ในรถบรรทุกน้ำมัน
    บริษัทตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง จึงได้ติดตั้งระบบควบคุมไอระเหยน้ำมัน (Vapor Recovery Unit: VRU) ในรถบรรทุกน้ำมัน เพื่อป้องกันการระเหยของสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOC) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศ โดยมีการจัดทำแผนบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance: PM) อย่างเป็นระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบ VRU และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง บริษัทมีแผนที่จะใช้เทคโนโลยีมาตรฐาน EURO 5 ที่มีค่าการปล่อยมลพิษต่ำ ในรถขนส่งน้ำมันจำนวน 10 คัน ในปี 2568 เพื่อช่วยลดการปล่อยฝุ่นละอองและก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายด้านการจัดการคุณภาพอากาศขององค์กร และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ด้านสิ่งแวดล้อม
ผลการดำเนินงาน
รายการ ค่ามาตรฐาน ผลการตรวจสอบเฉลี่ย
2566
2567
1. ฝุ่นทุกขนาดที่สามารถเข้าถึง และสะสมในถุงลมของปอดได้ (PM) 3 mg/m3 <1 mg/m3 0.05 mg/m3
2. สารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) เช่น เบนซิน 100 ppm <0.05 ppm 0.15 ppm
3. เมธิล เทอร์เทียรี่ บิวทิล อีเธอร์ (MTBE) 1.7 µg/m3 - -



10076

10074

Loading...