การบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชน

เป้าหมายการดำเนินงาน

หัวข้อ
 
ผลการดำเนินงาน เป้าหมาย
2566 2567 2567 2570
จำนวนครั้งในการอบรมพนักงานเรื่องสิทธิมนุษยชนและแรงงาน 20 ครั้ง 36 ครั้ง - -
สัดส่วนความครอบคลุม PTG และบริษัทย่อยที่ได้รับการอบรมเรื่องสิทธิมนุษยชนและแรงงาน 33.33% 98.41% 80% 100%
สถิติกรณีมีเหตุการณ์ที่บริษัทถูกร้องเรียนหรือถูกฟ้องร้องว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน 0 กรณี 0 กรณี 0 กรณี 0 กรณี


กระบวนการตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชน (Human Rights Due Diligence)

พีทีจี มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ โดยยึดหลักการดำเนินธุรกิจที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีจริยธรรม เคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชน และให้ความสำคัญต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนในการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน และมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่อาจเกิดขึ้นตลอดห่วงโช่คุณค่าทางธุรกิจ บริษัทได้พัฒนากระบวนการตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Dilgence) ขึ้น เพื่อจัดการกับความเสี่ยงจากประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน และส่งเสริมวัฒนธรรมการเคารพต่อสิทธิมนุษยชนภายในองค์กร โดยกระบวนการตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านของบริษัท มีขั้นตอนดังต่อไปนี้


นโยบายสิทธิมมุนษยชน

พีทีจี ได้จัดทำนโยบายสิทธิมนุษยชน โดยยึดมั่นและปฏิบัติตามนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนในการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับกฎหมายแรงงานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนได้นำแนวทางหลักการขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (United Nations Universal Declaration of Human Rights : UDHR) ข้อตกลงประชาคมโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nation Global Compact : UNGC) รวมถึงหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights: UNCP) มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของธุรกิจ ซึ่งได้ระบุแนวปฏิบัติสำหรับพนักงานในการส่งเสริมวัฒนธรรมการเคารพต่อสิทธิมนุษยชนทั้งภายในและภายนอกองค์กร ครอบคลุมสิทธิพนักงาน สิทธิคู่ค้า สิทธิลูกค้า และสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยคาดหวังให้บริษัทย่อย บริษัทร่วม บริษัทร่วมค้า และคู่ค้าปฏิบัติตามนโยบายสิทธิมนุษยชนของบริษัท รวมถึงมีการสื่อสารอย่างชัดเจนไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ชุมชน คู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ โดยเน้นประเด็นสำคัญด้านสิทธิมนุษยชน เช่น การป้องกันการเลือกปฏิบัติ การคุกคามทางเพศ การใช้แรงงานเด็ก และการใช้แรงงานบังคับ เป็นต้น เพื่อให้มั่นใจว่าทุกภาคส่วนมีการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด

บทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบ

คณะกรรมการบริษัท

• อนุมัตินโยบายสิทธิมนุษยชน

• กำกับดูแลให้มีการบริหารความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนที่เหมาะสมและครอบคลุมในทุกๆ ด้าน

• มีบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบในการกำกับดูแล ทบทวน และพิจารณาอนุมัตินโยบายฯรวมถึงรับทราบรายงานกรณีการละเมิดที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนตามช่องทางการรายงานของบริษัทฯ  

คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการและความยั่งยืน  

มีบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบในการทบทวน และพิจารณาให้ความเห็นชอบนโยบายฯให้แนวทางและกำกับดูแล การดำเนินงานของบริษัทฯ ให้เป็นไปตามนโยบายด้านสิทธิมนุษยชน รับทราบความคืบหน้าและส่งเสริมการดำเนินงานที่สนับสนุนการเคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชน รวมถึงบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบด้านสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับกฎบัตรของคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการและความยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีบทบาทในการรับทราบรายงานกรณีการละเมิดที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนตามช่องทางการรายงานของบริษัทฯ  

คณะทำงานบริหารความเสี่ยงองค์กร

• พิจารณากลั่นกรองกรอบการบริหารความเสี่ยง รวมทั้งนโยบาย มาตรฐาน และกระบวนการบริหารความเสี่ยงของบริษัท ก่อนนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง

• พิจารณาการวิเคราะห์ ประเมิน และบริหารจัดการความเสี่ยงด้านต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นและมีแนวโน้มที่จะมีผลกระทบต่อเป้าหมายการดำเนินงานขององค์กร ก่อนนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง

• ปรับปรุงการดำเนินงานด้านการบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

• จัดให้มีแนวทางหรือคู่มือในการบริหารความเสี่ยงของแต่ละเป้าหมายการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

• รายงานการวิเคราะห์ ประเมิน และบริหารจัดการความเสี่ยงต่อคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการเงินและความยั่งยืน

• พัฒนานโยบายที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และบูรณาการประเด็นสิทธิมนุษยชนในกลยุทธ์องค์กร

• เฝ้าระวังและตรวจสอบมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน

• นำเสนอข้อมูลต่อผู้บริหารและคณะกรรมการ พร้อมสื่อสารความคืบหน้าด้านสิทธิมนุษยชนทั้งภายในและภายนอกองค์กร             

ส่วนบริหารความเสี่ยง และส่วนพัฒนาความยั่งยืน

• พัฒนาขั้นตอนการประเมินความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนขององค์กร และทบทวนขั้นตอนดังกล่าวเพื่อให้มีการปรับปรุงแนวทางการประเมินในอนาคตอย่างต่อเนื่อง

• ติดตามตรวจสอบการนำขั้นตอนการประเมินความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนไปปฏิบัติใช้โดยหน่วยงานต่างๆ ของบริษัทฯ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การระบุประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและการจัดการ การดำเนินมาตรการเพื่อลดระดับความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน                

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมในกระบวนประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน

ได้แก่  หน่วยงานที่มีความรับผิดชอบในด้าน ทรัพยากรบุคคล ฝ่ายความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายขาย ฝ่ายโลจิสติกส์ ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ ฝ่าย supply chain เป็นต้น  โดยมีบทบาทหน้าที่ดังนี้

• การระบุประเด็นและระดับของผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานของตน

• การกำหนดมาตรการควบคุมและลดผลกระทบตามที่ระบุได้

• การทบทวนผลการประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนตามขั้นตอนการประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนเป็นระยะทุกๆ หนึ่งปี

• การทบทวนและปรับปรุงเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ                      

นอกจากนี้บริษัทยังมอบหมายให้พนักงานในระดับจัดการ ซึ่งเป็นผู้มีความรู้และเชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนดำเนินการบริหารงานประจำวันเพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินงานของพีทีจี รวมถึงการดำเนินธุรกิจกับคู่ค้า เช่น ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล ฝ่ายความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ฝ่ายกฎหมาย เป็นต้น

ดาวน์โหลดนโยบายสิทธิมนุษยชน

กระบวนการร้องเรียนเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน

พีทีจี เปิดโอกาสให้พนักงาน และผู้มีส่วนได้เสียสามารถแสดงความคิดเห็นสะท้อนปัญหา และแจ้งเบาะแส หรือข้อร้องเรียน หากมีเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกี่ยวข้องต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือจรรยาบรรณ ทั้งจากพนักงาน และผู้มีส่วนได้เสีย ผ่านช่องทางรับเรื่องร้องเรียน whistleblower@pt.co.th, Call Center และ Mobile Application โดยมีการบริหารจัดการข้อร้องเรียนดังกล่าวอย่างเหมาะสมและให้ความเป็นธรรม โดยคุ้มครองบุคคลที่แจ้งเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มบริษัทโดยคุ้มครองข้อมูลผู้ร้องเรียนเป็นความลับ และใช้มาตรการคุ้มครองผู้ร้องเรียนหรือผู้ที่ให้ความร่วมมือในการรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างสูงสุด

กลไกการเยียวยากรณีเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน

หากตรวจสอบพบว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นจริง บริษัทจะดำเนินการเยียวยาผลกระทบตามความเหมาะสม โดยในเบื้องต้นจะดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย และคืนสิทธิที่ผู้ได้รับผลกระทบควรได้รับ ทั้งในกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียภายในและผู้มีส่วนได้เสียภายนอก โดยมุ่งให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส และยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

1. ผู้มีส่วนได้เสียภายใน

  • ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงาน บริษัทจะดำเนินการปรับแก้สัญญาการจ้างหรือคืนสิทธิที่เหมาะสม เช่น การชดเชยค่าจ้างย้อนหลัง หรือการชดเชยชั่วโมงการทำงานล่วงเวลาที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
  • หากเป็นกรณีที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานโดยตรง เช่น การใช้อำนาจโดยมิชอบ การกลั่นแกล้ง หรือการกระทำผิดวินัย บริษัทจะดำเนินการทางวินัยกับผู้กระทำผิด และเยียวยาผู้เสียหายตามสิทธิที่ควรได้รับ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชยความเสียหาย รวมถึงการติดตามดูแลเพื่อป้องกันผลกระทบระยะยาว


2. ผู้มีส่วนได้เสียภายนอก

  • ดำเนินการเยียวยาตามความเหมาะสม เช่น การชดเชยค่าเสียหาย การคืนสิทธิที่ถูกละเมิด หรือการบำบัดฟื้นฟูในกรณีที่ได้รับผลกระทบด้านร่างกายหรือจิตใจ
  • การขอโทษอย่างเป็นทางการจากองค์กรต่อผู้เสียหาย พร้อมทั้งดำเนินการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อสร้างความไว้วางใจและความร่วมมืออย่างยั่งยืน
  • ทบทวนและปรับปรุงนโยบาย หรือกระบวนการที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ เช่น การปรับปรุงระเบียบการทำงาน หรือการดำเนินการทางวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง

การอบรมด้านสิทธิมนุษยชน

พีทีจีให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้จัดการและพนักงานในด้านสิทธิมนุษยชน การปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน และจรรยาบรรณในการทำงาน เพื่อส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย เป็นธรรม และปราศจากการเลือกปฏิบัติ การกลั่นแกล้ง หรือการคุกคามทุกรูปแบบ โดยได้กำหนดให้มีการจัดอบรมแก่ผู้จัดการใหม่อย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมประเด็นด้านการบริหารบุคลากรอย่างเหมาะสม การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน และการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่ละเมิดสิทธิของลูกจ้าง

ในหลักสูตรการอบรมได้บรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับการป้องกันและจัดการกรณีการกลั่นแกล้งหรือการคุกคามในที่ทำงาน (Bullying and Harassment) เพื่อให้ผู้จัดการสามารถระบุพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้อย่างถูกต้อง เรียนรู้วิธีการรับฟังข้อร้องเรียนอย่างเป็นกลาง การรักษาความลับของผู้ร้องเรียน รวมถึงแนวทางการรายงานและส่งต่อเรื่องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ส่วนพนักงานสัมพันธ์ เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบและดำเนินการเป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และเคารพศักดิ์ศรีของทุกฝ่าย

ทั้งนี้ การอบรมดังกล่าวดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่จากส่วนพนักงานสัมพันธ์และสื่อสารภายในที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องสิทธิมนุษยชนและแรงงานสัมพันธ์ โดยจัดในรูปแบบทั้ง Online, Onsite และ Hybrid เพื่อความเหมาะสมและความสะดวกของผู้เข้าร่วม ซึ่งได้มีการอบรมไปแล้วทั้งสิ้น 12 รุ่น มีผู้จัดการใหม่เข้าร่วมจำนวน 1,140 คน

กิจกรรม / หลักสูตรอบรม จำนวนพนักงานเข้าร่วมกิจกรรม/อบรม สัดส่วนของพนักงานทีเข้าอบรมเทียบกับจำนวนพนักงานทั้งหมด                            
กิจกรรม ER On tour 1,140 98.19%
หลักสูตรกฎหมายแรงงานเบื้องต้น และหลักการสิทธิมนุษยชนสำหรับหัวหน้างาน 978 100%

หมายเหตุ :  จำนวนพนักงานทั้งหมด หมายถึง กลุ่มผู้จัดการสถานีบริการที่ต้องได้รับการอบรม

การดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนตามมาตรฐานสากล

พีทีจี มุ่งมั่นที่จะยกระดับการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนตามมาตรฐานสากล โดยได้ร่วมเป็นสมาชิกและมีบทบาทสำคัญในสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 ซึ่งทำหน้าที่ส่งเสริมมาตรฐานแรงงานและสุขภาวะในสถานประกอบการ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการร่วมกับกรมแรงงาน อีกทั้งยังเป็นภาคีเครือข่ายนักสร้างสุขภาวะองค์กรกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของพนักงานและเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีในองค์กร นอกจากนี้ PTG ยังมีบทบาทในคณะกรรมการพัฒนาสตรีเพื่อยกระดับสถานะของผู้หญิงในองค์กร พร้อมเข้าร่วมโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการสถานประกอบการปลอดภัยยาเสพติดภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ซึ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยจากยาเสพติด รวมถึงโครงการส่งเสริมสวัสดิการสำหรับแรงงานสูงอายุเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในระยะยาว

ในด้านความเป็นเลิศระดับนานาชาติ พีทีจี ยังได้รับรางวัล "HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2024" และ "Diversity, Equity, Inclusion Awards" จาก HR Asia Awards ซึ่งเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยรางวัลนี้ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ PTG ในการพัฒนาบุคลากรและสร้างสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย มีความเท่าเทียม และคำนึงถึงพนักงานทุกคน รางวัลที่ได้รับในครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความตั้งใจของบริษัทฯ ในการเป็นองค์กรที่ยอดเยี่ยม พร้อมสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีเยี่ยมให้กับพนักงาน PTG จึงภาคภูมิใจในความสำเร็จนี้ และจะเดินหน้าพัฒนาคุณภาพการทำงานและส่งเสริมสิทธิด้านแรงงานต่อไป

การปฎิบัติต่อแรงงาน

1. การจ่ายค่าจ้างที่เพียงพอต่อการครองชีพ (Paying a Living Wage) บริษัทกำหนดอัตราค่าจ้างและเงินเดือนให้สอดคล้องกับค่างานตามตำแหน่ง ค่าครองชีพ และค่าจ้างขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด พร้อมทั้งเปรียบเทียบกับมาตรฐานของธุรกิจในประเภทเดียวกัน เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมและแข่งขันได้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการเบี้ยเลี้ยงพื้นที่พิเศษสำหรับเขตที่มีการแข่งขันด้านแรงงานสูง เพื่อสร้างแรงจูงใจและความเป็นธรรมในการทำงาน    


2. การลดการทำงานล่วงเวลาและชั่วโมงการทำงานที่มากเกินไป (Avoiding or Reducing Overtime or Excessive Working Hours) บริษัทส่งเสริมรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น (Flexible Workplace และ Flexible Time) เพื่อให้พนักงานสามารถจัดการเวลาและสถานที่ทำงานได้อย่างเหมาะสม ในกรณีที่จำเป็นต้องทำงานล่วงเวลา บริษัทอนุญาตเฉพาะเมื่อเป็นงานเร่งด่วนหรืองานที่ไม่สามารถหยุดชะงักได้ หากไม่ใช่กรณีดังกล่าวต้องได้รับความยินยอมจากพนักงานก่อนทุกครั้ง นอกจากนี้ บริษัทยังกำหนดมาตรการปิดระบบปรับอากาศที่สำนักงานใหญ่เวลา 17.30 น. เพื่อป้องกันการทำงานล่วงเวลาโดยไม่จำเป็น

3. การกำหนดชั่วโมงการทำงานสูงสุด (Setting Maximum Working Hours)  บริษัทได้กำหนดชั่วโมงการทำงานตามลักษณะงานดังนี้

- สำนักงานใหญ่: แบ่งการทำงานออกเป็น 4 กะ ได้แก่กะที่ 1 เวลา 07.30 – 16.30 น. กะที่ 2 เวลา 08.30 – 17.30 น. กะที่ 3 เวลา 09.30 – 18.30 น. และกะที่ 4 เวลา 10.30 – 19.30 น.

- สำนักงานสาขา (Branch Offices) แบ่งตามประเภทงานดังนี้ งานปกติ: 08.00 – 17.00 น.งานห้องปฏิบัติการ (LAB): 08.00 – 17.00 น.งานกะ (Shift Work): จัดเป็น 2–3 กะ โดยแต่ละกะมีระยะเวลา 8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการดำเนินงานของแต่ละสาขาและงานขนส่ง (Transportation Work): ทำงานวันละ 7 ชั่วโมง เพื่อคงไว้ซึ่งความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำงาน

สำหรับงานที่ต้องปฏิบัตินอกสถานที่ เช่น งานด้านการตลาด งานขาย งานติดตั้งระบบ หรือการตรวจสอบ บริษัทจะกำหนดชั่วโมงทำงานให้เหมาะสมกับลักษณะงาน โดยรวมแล้วต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และชั่วโมงการทำงานล่วงเวลาในเวลาทำงานหรือในวันหยุดต้องไม่เกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อให้พนักงานมีสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance)

4. ค่าตอบแทนที่เท่าเทียมระหว่างเพศชายและเพศหญิง (Equal Remuneration for Men and Women) บริษัทมุ่งมั่นสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เคารพในความหลากหลายและไม่เลือกปฏิบัติในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา เพศ อายุ ภาษา หรือความเชื่อ โดยกำหนดค่าจ้างและสิทธิประโยชน์จากคุณค่าและความสามารถของงาน และส่งเสริมความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง

5. การจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดประจำปี (Paying Workers for Annual Leave) บริษัทกำหนดวันหยุดตามประเพณีไม่น้อยกว่า 13 วันต่อปี รวมถึงวันแรงงานแห่งชาติ โดยพนักงานจะได้รับค่าจ้างในวันดังกล่าวเท่ากับวันทำงานปกติ ทั้งนี้ บริษัทประกาศวันหยุดประจำปีล่วงหน้าในเดือนธันวาคมของทุกปี เพื่อให้พนักงานสามารถวางแผนการทำงานและการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสม

6. การปรึกษาหารือและการแจ้งล่วงหน้าก่อนการเลิกจ้างจำนวนมาก (Setting Minimum Consultation or Notice Periods before Mass Terminations) บริษัทดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบและเคารพสิทธิแรงงาน โดยปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานไทยและหลักสิทธิมนุษยชนสากลอย่างเคร่งครัด ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก บริษัทจะดำเนินการแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 1 งวดการจ่ายค่าจ้าง พร้อมแจ้งต่อพนักงานตรวจแรงงานตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้พนักงานและผู้แทนแรงงานเข้ามามีส่วนร่วมในการหารือ เพื่อหามาตรการบรรเทาผลกระทบที่เหมาะสม ตลอดจนพิจารณามาตรการช่วยเหลือและการเยียวยาอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส

7. เสรีภาพในการสมาคมและเจรจาต่อรอง คือ พนักงานมีสิทธิในการร่วมเจรจาในเรื่องผลประโยชน์ในการทำงานอย่างเป็นธรรมและ มีเสรีภาพในการสมาคม โดยมีคณะกรรมการสวัสดิการที่เลือกตั้งตามกฎหมาย ทำหน้าที่ร่วมปรึกษาและเสนอแนะแนวทางด้านสวัสดิการแก่พนักงาน รวมทั้งมีการประชุมเป็นประจำทุกไตรมาสเพื่อติดตามผลและพัฒนาสวัสดิการให้ตอบสนองความต้องการของพนักงาน


คณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ

บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการเลือกตั้งคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการขึ้น ณ สำนักงานใหญ่ เสร็จสิ้นแล้วเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 เพื่อให้สอดคล้องตามมาตรา 96 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยมีผู้ได้รับการเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ จำนวนทั้งสิ้น 7 คน
คณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ มีหน้าที่และความรับผิดชอบ ดังนี้
1. ร่วมหารือกับคณะกรรมการสวัสดิการฝ่ายนายจ้างเพื่อจัดสวัสดิการแก่ลูกจ้าง
2. ให้คำปรึกษา หารือ และเสนอแนะความคิดเห็นแก่นายจ้างในการจัดสวัสดิการสำหรับลูกจ้าง
3. ตรวจตรา ควบคุม และดูแลการจัดสวัสดิการที่นายจ้างจัดให้แก่ลูกจ้าง
4. เสนอความคิดเห็นและแนวทางในการจัดสวัสดิการที่เป็นประโยชน์สำหรับลูกจ้างต่อคณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน
5. เป็น “นักสร้างสุของค์กร” ดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างสุขให้กับพนักงานทุกระดับ
นอกจากนี้ คณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการจะมีการประชุมเป็นประจำทุกไตรมาส เพื่อร่วมกันติดตามผลการดำเนินงานด้านสวัสดิการ แลกเปลี่ยนข้อเสนอแนะ และกำหนดแนวทางพัฒนาสวัสดิการใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของพนักงานอยู่เสมอ เพื่อให้พนักงานทุกคนได้อยู่ดีมีสุขและเติบโตไปพร้อมกับองค์กรอย่างยั่งยืน

10076

10074

Loading...