การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

กลยุทธ์การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

       พีทีจี มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) และมาตรฐานสากลต่างๆ บริษัทได้ดำเนินการจัดเก็บข้อมูลและคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมทางธุรกิจ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับองค์กร นอกจากนี้ พีทีจี ยังประเมินความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามแนวทางของ Task Force on Climate-related Financial Disclosures (TCFD) โดยผนวกรวมกับการประเมินความเสี่ยงองค์กร เพื่อให้ธุรกิจสามารถเตรียมพร้อมรับมือและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      ในด้านการดำเนินธุรกิจ พีทีจี ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบโดยเลือกใช้เชื้อเพลิงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ของยานพาหนะ และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อม อีกทั้งยังส่งเสริมกิจกรรมเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น การสร้างแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียผ่านโครงการปลูกต้นไม้ในชุมชน นอกจากนี้ ยังสร้างความตระหนักรู้ให้แก่พนักงานผ่านกิจกรรมลดการใช้พลังงานในองค์กร รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อผู้มีส่วนได้เสียตามแนวทางและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น แบบ 56-1 One Report, Global Reporting Initiative (GRI) และ Down Jones Sustainability Indices (DJSI) เพื่อแสดงถึงความโปร่งใสและความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ดาวน์โหลดกลยุทธ์การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิกาศ


การกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

พีทีจี กำหนดให้มีการบริหารจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับองค์กร ซึ่งเป็นหนึ่งในการบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน เตรียมความพร้อมในการป้องกันและปรับตัวรับความเสี่ยง รวมถึงแสวงหาโอกาสในการดำเนินธุรกิจจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น บริษัทได้กำหนดให้คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร ประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ซึ่งได้มอบหมายให้ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินและความยั่งยืน (Chief of Finance and Sustainability Officer) ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการกำกับดูแลประเด็นด้านความเสี่ยงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับคณะกรรมการ นอกจากนี้ยังมีคณะทำงานบริหารความเสี่ยง ซึ่งรับผิดชอบในกระบวนการต่าง ๆ ของการบริหารความเสี่ยงองค์กร มีบทบาทหน้าที่เพิ่มเติมในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้มีประสิทธิภาพ โดยผนวกรวมกับการบริหารจัดการความเสี่ยงองค์กร                

แนวทางการประเมินความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

พีทีจี ประเมินความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามหลักการ
ของ Task Force on Climate-Related Financial Disclosures (TCFD) โดยระบุความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการวิเคราะห์ผลกระทบตามสถานการณ์จำลอง (scenario) ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากรายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change : IPCC) ตามสถานการณ์ทางกายภาพ RCP8.5 สํานักงานพลังงานสากล (International Energy Agency: IEA) ตามสถานการณ์เปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ETP 2DS และกรีนพีซ (Greenpeace) ตามสถานการณ์เปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอน Greenpeace Advanced Energy [R]evolution เพื่อการบริหารผลกระทบทางธุรกิจจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบที่เหมาะสมต่อไป


ดาวน์โหลดรายงานการวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก

ผลการดำเนินงานการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
           บริษัทได้ดำเนินการจัดเก็บและจัดทำข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประจำปี 2567 ในขอบเขตการดำเนินงานของบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท พีทีจี โลจิสติกส์ จำกัด และบริษัท ปิโตรเลียมไทย คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยครอบคลุมพื้นที่หลัก ได้แก่ สำนักงานใหญ่ คลังน้ำมัน ศูนย์กระจายสินค้า ระบบขนส่ง (Fleet) และสถานีบริการน้ำมัน  
           ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าว ทางบริษัทได้มีการจัดจ้างที่ปรึกษาจากสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการจัดทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร และได้รับการทวนสอบจาก บริษัท เอ็นพีซี เซฟตี้ แอนด์ เอ็นไวรอนเมนทอล เซอร์วิส จำกัด ซึ่งเป็นผู้ทวนสอบภายนอกที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน ISO 14065:2020 และข้อมูลดังกล่าว ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. นอกจากนี้ บริษัทได้วางแผนที่จะขยายการขอรับรองการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจทั้งหมด เพื่อให้การรายงานมีความครบถ้วนและสอดคล้องกับขอบเขตการดำเนินงานจริง โดยมีรายละเอียดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละส่วนดังนี้


ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2563 2564 2565 2566 2567
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (Scope 1) 1,209 1,582 55,771 50,718 55,159
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (Scope 2) 887 1,064 31,806 38,307 37,833
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (Scope 3) 1,935,022 13,799,057 20,289,891 15,286,932 15,431,998
รวม 1,683.496 13,801,703 20,377,468 15,375,957 15,524,990

หน่วย: ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า  

หมายเหตุ:

  1. ข้อมูลดังกล่าวได้ถูกรวบรวมโดยใช้วิธีการควบคุมการดำเนินงาน (Operational Control) ตามที่ระบุใน GHG Protocol 
  2. ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขต 2 ปี 2561-2563 ของพีทีจี และกลุ่มพีทีจี เอ็นเนอยี มีการปรับการคำนวณตาม Emission Factor จาก EPPO 2021
  3. ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของปี 2563 ครอบคลุมสถานปฏิบัติการของ พีทีจี คือ สำนักงานใหญ่ และคลังน้ำมัน โดยปี 2564 มีการขยายขอบเขตการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ครอบคลุมส่วนงานขนส่ง ปี 2565 มีการขยายขอบเขตการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ครอบคลุมสถานีบริการน้ำมัน และปี 2566 มีการขยายขอบเขตการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ครอบคลุมคลังกระจายสินค้า
  4. ปี 2564 - 2566 บริษัทฯ ดำเนินการรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 (Scope 3) ในรูปแบบการรายงานทั้งหมด (full reporting) อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 บริษัทฯ ได้ปรับแนวทางการคำนวณโดยเลือกเฉพาะ หมวดหมู่ที่มีนัยสำคัญ เพื่อให้การรายงานสะท้อนผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมยิ่งขึ้น แนวทางดังกล่าวเป็นไปตามกรอบการดำเนินงานของ GHG Protocol เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร 
  5. ข้อมูลในปี 2567 มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น เนื่องจาก มีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในธุรกิจการขนส่งเพิ่มมากขึ้น ทำให้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (Scope 1) นั้นเพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (Scope 3) ที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนยอดขายน้ำมันเชื้อเพลิง

การดำเนินโครงการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ในช่วงที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่การลดคาร์บอนและเศรษฐกิจพลังงานสะอาด พีทีจีตระหนักถึงบทบาทสำคัญการสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนระดับโลก รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม จึงได้กำหนดเป้าหมายสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการตั้งเป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี 2030 สำหรับการปล่อยก๊าซใน Scope 1 และ Scope 2 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว บริษัทฯได้กำหนดกลยุทธ์ที่ครอบคลุม 3 แนวทางหลัก ได้แก่:

Reduce: พีทีจีมุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ต้นทาง ด้วยการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานภายในองค์กรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการใช้พลังงานในสำนักงาน และส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในพื้นที่ต่างๆ นอกจากนี้ยังสนับสนุนการลดการใช้ทรัพยากรสิ้นเปลือง เช่น การลดการใช้กระดาษและพลาสติก รวมถึงส่งเสริมการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพผ่านโครงการรีไซเคิล บริษัทยังสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เพื่อปลูกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมแก่พนักงานทุกคนในองค์กร

  • โครงการโซลาร์รูฟท็อป
    พีทีจี ได้แสดงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่าน โครงการโซลาร์รูฟท็อป โดยดำเนินการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาสถานีบริการน้ำมันตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการใช้พลังงานที่ยั่งยืน

  • โครงการ EV Truck
    บริษัท พีทีจี โลจิสติกส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินโครงการเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการขนส่ง โดยมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน หนึ่งในมาตรการสำคัญคือการนำ รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า (EV) มาใช้ในระบบโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนำร่องที่บริษัทดำเนินการในปี 2567 จำนวน 2 คัน เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยผลจากการใช้งานรถบรรทุก EV นี้ สามารถลดปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไปได้ 451 ลิตร ส่งผลให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ คิดเป็นปริมาณ 1.235 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO₂e) โครงการดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนาระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกจากจะช่วยลดมลพิษและผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศแล้ว ยังเป็นแนวทางที่ช่วยส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Reforest: พีทีจี มุ่งมั่นในการสนับสนุนการปลูกป่าและการฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน หรือประชาชนในชุมชน เพื่อให้เกิดความร่วมมืออย่างยั่งยืน บริษัทให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ พร้อมผลักดันกิจกรรมที่ช่วยฟื้นฟูความสมบูรณ์ของป่าและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการสร้างจิตสำนึกในด้านสิ่งแวดล้อมแก่สังคม เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนากับการรักษาธรรมชาติ

  • โครงการปลูกป่าสร้างสุข
    บริษัทฯ ได้เข้าร่วมโครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อคาร์บอนเครดิต และลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย (Thailand Mangrove Alliance) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าชายเลนอย่างยั่งยืน โดยโครงการนี้คาดว่าจะสามารถดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 2,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนเป้าหมายระดับชาติในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ พร้อมทั้งส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ความหลากหลายทางชีวภาพ และการสนับสนุนอาชีพตามวิถีชุมชนในพื้นที่ป่าชายเลน ร่วมสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมและชุมชนในระยะยาว
  • โครงการต้นไม้ ลดโลกร้อน
    บริษัทฯ มุ่งมั่นสนับสนุนการฟื้นฟูและอนุรักษ์ระบบนิเวศของชุมชน โดยได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากภาครัฐ ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างบริษัทและชุมชนท้องถิ่น ในปี 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินกิจกรรมหลากหลายเพื่อส่งเสริมระบบนิเวศในพื้นที่รอบเขตปฏิบัติงานขององค์กร อาทิ       

    - โครงการ "ปลูกโกงกาง สร้างสมดุล โลกยั่งยืน" ณ คลังน้ำมันชุมพร      

    - โครงการ "ปลูกต้นไม้ ลดคาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มออกซิเจน" ณ คลังน้ำมันปักธงชัย     

    - โครงการ "รักษ์ต้นไม้ ลดโลกร้อน" ณ คลังน้ำมันพิษณุโลก       

    - โครงการ "ปลูกต้นไม้ เพิ่มออกซิเจน ชุมชนสีเขียว" ณ คลังน้ำมันสุรินทร์

    จากการดำเนินโครงการเหล่านี้ สามารถเพิ่มศักยภาพในการดูดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้รวมทั้งสิ้น 5.4 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ช่วยสร้างสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมความยั่งยืนให้กับชุมชนในระยะยาว


Re-adjust Portfolio: พีทีจี มุ่งมั่นปรับพอร์ตโฟลิโอธุรกิจเพื่อสอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) และใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ ๆ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยธุรกิจ Renewable Energy ถูกกำหนดให้เป็น 1 ใน 8 ธุรกิจหลักที่บริษัทตั้งเป้าลงทุนในอนาคต เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาว

  • กลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทน 
    ธุรกิจบริหารจัดการขยะและโรงไฟฟ้าขยะชุมชนของบริษัท ฯ ไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะและการปล่อยก๊าซมีเทนในชุมชน แต่ยังสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ถึง 6 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2568 ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทฯ ได้กำจัดขยะรวมกว่า 5,456.72 ตัน ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 12,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้จำนวน 130,000 ต้น นอกจากนี้ การบริหารจัดการและผลิตเชื้อเพลิงขยะ (RDF) ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืนให้แก่ชุมชนและสังคมผ่านการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ผลสำเร็จดังกล่าวไม่เพียงช่วยส่งเสริมสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อมในชุมชน แต่ยังเปิดโอกาสให้บริษัทฯ สามารถต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ที่สนับสนุนความยั่งยืนในอนาคต
  • สถานี EV Charger
  • ด้วยกระแสการเติบโตอย่างรวดเร็วของยานยนต์ไฟฟ้าที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความมุ่งมั่นในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ บริษัทฯ จึงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาสถานีบริการให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินการติดตั้งสถานีชาร์จรถ EV แล้วกว่า 190 สาขา และตั้งเป้าหมายขยายจำนวนให้ครบ 712 สาขาภายในปี 2570 โดยมีการวางแผนและเก็บข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อระบุพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการติดตั้งในทุกภูมิภาคของประเทศ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ยึดหลักการให้บริการในจุดที่จำเป็น โดยวางเป้าหมายให้มีสถานีชาร์จรถ EV ทุกระยะทาง 150-200 กิโลเมตร เพื่อสร้างความสะดวกสบายและสนับสนุนการเดินทางที่ยั่งยืนสำหรับผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต

10076

10074

Loading...